เมื่อชีวิตเป็นดั่ง Game of Thrones กับเหตุผลที่คุณควรดูซีรีส์เรื่องนี้
ในบรรดาภาพยนตร์และซีรีส์ที่สามารถถ่ายทอดความสมจริงในเชิงเนื้อหาและการถ่ายทำออกมาได้อย่างดีเยี่ยมนั้น Game of Thrones ถือเป็นหนึ่งในซีรีส์ที่ดีที่สุดในเรื่องนี้
Game of Thrones ว่าด้วยเรื่องราวในดินแดนที่มีชื่อเรียกว่า เวสเทอรอส (Westerose) และดินแดนใกล้เคียง สร้างจากจินตนาการของจอร์จ อาร์. อาร์. มาร์ติน (George R.R. Martin) ในวรรณกรรมชุด A Song of Ice and Fire ซึ่งได้แรงบันดาลใจมาจากประวัติศาสตร์และการเมืองในโลกของเรา
ในปัจจุบัน ปฏิเสธไม่ได้เลยว่าซีรีส์ Game of Thrones ที่ฉายทางช่อง HBO เป็นหนึ่งในซีรีส์ที่มีชื่อเสียงที่สุดในโลกเรื่องหนึ่งไปแล้ว เนื่องจากเนื้อเรื่องที่มีความเข้มข้น น่าติดตาม เล่นใหญ่ในการถ่ายทำ ทั้งยังตีแผ่ในเรื่องธรรมชาติของมนุษย์ และสังคมมนุษย์ รวมถึงการเมืองออกมาได้อย่างตรงไปตรงมา ไม่อ้อมค้อม และไม่โลกสวยเกินความเป็นจริง จนเสมือนว่าสิ่งที่เกิดขึ้นใน Game of Thrones มันก็เกิดขึ้นอยู่รอบๆ ตัวเราด้วยเช่นกัน แตกต่างกันเพียงบริบทเท่านั้น
พูดได้ว่า Game of Thrones กลายเป็น ‘สามก๊กฉบับตะวันตก’ ที่ผู้เขียนคิดว่าเข้มข้นยิ่งกว่า ซึ่งสะท้อนให้เห็นถึงธรรมชาติของมนุษย์มากยิ่งขึ้น ไม่ใช่แค่เรื่องของการเมืองและอำนาจ ดังนั้น ผู้เขียนจะมาทบทวนถึงจุดเด่นและแง่คิดในด้านการใช้ชีวิตและสังคมใน Game of Thrones รวมถึงจุดเด่นในแง่ของการเป็นซีรีส์สักเล็กน้อยโดยสังเขป
1. ความสมจริงของเนื้อเรื่องและฉาก
แน่นอนว่าสิ่งแรกที่ต้องกล่าวถึง คือ เรื่องของการถ่ายทำและเนื้อเรื่อง เพราะ Game of Thrones แม้จะเป็นเรื่องราวที่ถูกแต่งขึ้น แต่ก็เป็นเรื่องราวที่มีความสมเหตุสมผลและเป็นธรรมชาติที่สุดเรื่องหนึ่ง เนื่องจากสร้างมาจากธรรมชาติของมนุษย์อธิบายได้ในเกือบทุกกรณีในเชิงจิตวิทยาและวิทยาศาสตร์ (ยกเว้นเรื่องเหนือธรรมชาติบางประการ) อีกทั้งผู้เขียนวรรณกรรมและผู้สร้างภาพยนตร์มุ่งอิงบริบทในโลกเวสเทอรอสจากบริบทในยุโรปสมัยกลาง ทั้งเรื่องของวงศ์ตระกูล รูปแบบการเมืองการปกครอง วิถีชีวิต และสังคม มาประยุกต์ใช้กับซีรีส์ นอกจากนี้ Game of Thrones เป็นหนึ่งในเรื่องราวที่มีความซับซ้อนที่ต้องมีการทำความเข้าใจที่หลากหลายเปรียบได้กับ The Lord of the Rings (แต่เนื้อหาเป็นไปในคนแนวทางกันโดย The Lord of the Rings นั้น มุ่งเน้นไปในเรื่องความดีต่อสู้กับอำนาจที่ชั่วร้าย และสำนึกอันดีต่อโลก ขณะที่ Game of Thrones อำนาจที่ดีและร้ายปะปนกันอยู่โดยทั่วไป ตัวละครไม่ดีไม่ร้าย และเต็มไปด้วยความเห็นแก่ตัวตามธรรมชาติเสียมากกว่า)
เช่นเดียวกัน ด้วยเนื้อเรื่องที่สมจริง ฉากต่างๆ ก็สมจริงตามธรรมชาติด้วย แม้ฉากนั้นจะดูร้ายและรุนแรง หรือที่เรียกได้ว่า 18+ ก็ตาม เช่น ฉากการมีเพศสัมพันธ์ และการสังหารโหด
2. สัมผัสถึงการยุทธ์ที่สมจริงและยิ่งใหญ่ที่สุดเรื่องหนึ่ง
ไม่ว่าจะเป็น Battle of the Blackwater, Battle of Winterfell, Battle of the Bastards หรือ Battle of the Goldroad และอื่นๆ ล้วนแล้วแต่เป็นฉากการยุทธ์ที่สมจริงที่สุดตามแบบแผนการรบจริง มีความอลังการ นอกจากนี้ การเคลื่อนไหวและมุมกล้อง ฉาก เสียง ดนตรีประกอบ และการตัดฉาก รวมถึงงานศิลป์มีความลงตัวอย่างมาก ทำให้แต่ละฉากของการยุทธ์ยิ่งใหญ่ไม่แพ้ภาพยนตร์ฟอร์มยักษ์เลยทีเดียว
3. ถ่ายทอดความรู้ในเชิงวิชาการที่หลากหลายและรอบด้าน
นอกจากความบันเทิงแล้ว Game of Thrones คือ การถ่ายทอดประวัติศาสตร์ หากได้ดูซีรีส์เรื่องนี้จะทำให้เข้าใจรูปแบบและระบบการปกครองแบบยุโรปสมัยกลางได้ไปเอง ทั้งได้ความรู้ในเชิงรัฐศาสตร์ วัฒนธรรม ปรัชญาการเมืองและการใช้ชีวิต จิตวิทยา วิทยาศาสตร์ และอื่นๆ อีกมาก เรียกได้ว่า เป็นการถ่ายทอดความรู้ผ่านสื่อ มิใช่ด้วยการสอนอย่างในห้องเรียนหรือในสัมมนา
4. เข้าใจในความผิดพลาด ธรรมชาติแห่งมนุษย์
มนุษย์เติบโตขึ้นมาตั้งแต่เป็นทารกกลายเป็นเด็ก ค่อยๆ เรียนรู้ และเติบโตเป็นผู้ใหญ่ คนแต่ละคนมีลักษณะนิสัยที่แตกต่างกันไปด้วยปัจจัยทางพันธุกรรม สภาพแวดล้อม ภูมิหลังทางสังคม ชีวิตครอบครัว ฯลฯ ไม่ว่าจะเป็นลักษณะนิสัยแห่งความร่าเริงและรักในความโดดเด่น หรือลักษณะนิสัยแห่งความใจเย็นและยึดมั่นในหลักการ หรือพวกบ้าพลังมุ่งไปยังเป้าหมาย หรือพวกรักสงบ ฯลฯ
แต่ไม่ว่าจะเป็นคนในลักษณะนิสัยแบบไหนก็ตาม แต่ละลักษณะนิสัยก็ล้วนแล้วแต่เคยและจะทำเรื่องผิดพลาดกันทั้งนั้น ผิดเล็กบ้างใหญ่บ้าง บ้างผิดพลาดแล้วสามารถแก้ไขได้ บ้างผิดพลาดครั้งเดียวและไม่มีโอกาสที่จะลุกขึ้นใหม่อีกเลย
Game of Thrones เป็นเรื่องราวของมนุษย์ที่มีทั้งดีและร้ายในตัวคนๆ เดียว และเต็มไปด้วยเรื่องราวแห่งความผิดพลาด ที่ส่งผลต่อความผิดพลาดเรื่องอื่นๆ อีก มนุษย์ตัดสินใจผิดพลาดได้เสมอ รวมถึงเหตุการณ์บางเหตุการณ์ไม่ควรเกิดขึ้น แต่ก็เกิดขึ้นได้ โลกไม่มีอะไรแน่นอน ไม่มีอะไรได้สมดังใจทุกเรื่อง และในหลายครั้งโลกไม่เคยยุติธรรมไปเสียหมด แต่ไม่ว่าอย่างไร ความหวังก็ยังมีเสมอท่ามกลางเรื่องราวร้ายๆ ที่เราอาจพบเห็นอยู่ทุกวัน…
เรื่องราวของมนุษย์เหล่านั้นใน Game of Thrones เป็นเรื่องเตือนใจที่ว่าโลกและมนุษย์ไม่ได้มีดีมีร้ายเสมอไป มันอยู่ที่มนุษย์จะรู้จักเรียนรู้และสำนึกในประสบการณ์ความผิดพลาดของตัวเองและของคนรอบข้างหรือเปล่า เติบโต และมีโอกาสที่จะลุกขึ้นใหม่ได้อีกครั้ง จนสามารถอยู่ได้ท่ามกลางมนุษย์ที่มีลักษณะนิสัยที่แตกต่างและมีจุดประสงค์ที่หลากหลายกันไป รวมถึงกระแสธารของโลกที่เอาแน่เอานอนไม่ได้ และหากว่ากันตามตรง ความผิดพลาดและเรื่องที่ไม่คาดคิดว่าจะเกิดขึ้น ล้วนเป็นเรื่องธรรมดาธรรมชาติของมนุษย์ที่จะต้องพบพาน
เรื่องราวของ Game of Thrones อาจเป็นพลังใจให้แก่คนที่ทำผิดพลาดแล้วสำนึก ไม่มีใครทำถูกต้องเหมาะสมมาได้ตลอดตั้งแต่เกิด แม้แต่ตัวละครสำคัญในช่วงต้นเรื่องอย่าง ลอร์ดเอ็ดดาร์ด สตาร์ค บุคคลที่ขึ้นชื่อเรื่องคุณธรรม มีเกียรติ และยึดมั่นในหลักการมาโดยตลอด และถือเป็นตัวละครหลักในซีซั่นแรก (ในมุมมองของผู้ชม ลอร์ดเอ็ดดาร์ด สตาร์ค เป็นตัวละครเอกและอาจเป็นฮีโร่ของเรื่อง) ก็ทำพลาดอย่างใหญ่หลวงจนไม่สามารถที่จะแก้ไขได้ สร้างความเจ็บช้ำให้กับผู้ชมไปตามๆ กัน อย่างไรก็ดี เพราะนั่นคือโลกแห่งความเป็นจริง ซึ่งถือได้ว่า Game of Thrones กำลังกล่าวถึงธรรมชาติของมนุษย์ออกมาได้อย่างแนบเนียน
5. สะท้อนสังคมมนุษย์
เราเกิดและอยู่ในสังคม เราก็จะพบเจอคนได้หลากหลายประเภท ยิ่งในเมืองใหญ่แล้ว สังคมยิ่งซับซ้อนตามไปด้วย พอเราอายุมากขึ้น ก็จะพบว่า กว่าจะเจอกับคนที่จริงใจสักคน เราก็มักถูกหักหลังอย่างเจ็บปวดไปเรียบร้อยแล้วแทบทุกราย สำหรับ Game of Thrones คือ การสะท้อนสังคมมนุษย์อย่างแท้จริง ทั้งในทางประวัติศาสตร์และข้อเท็จจริงที่เราพบเจอได้ในปัจจุบันไม่ว่าจะด้วยเรื่องของ...
5.1 เศรษฐี (จอมปลอม) ภาพลักษณ์อันสง่าแห่งการแสวงหาผลประโยชน์
ในเมืองใหญ่และในโลกกว้าง ทุกคนมักมีบทบาทและภาพลักษณ์ของตัวเอง และภาพลักษณ์ในที่นี้ คือ ภาพที่ต้องการให้ผู้อื่นเห็นในแบบที่เขาอยากให้ผู้อื่นเห็น หรือที่เราคุ้นชินกับคำว่า ‘หน้ากาก’
กลุ่มเจ้าผู้ครองเมืองคาร์ธ (เมืองสำคัญแห่งหนึ่งในโลกของ Game of Thrones) เป็นเมืองที่เต็มไปด้วยภาพลักษณ์ของพวกเศรษฐี เป็นที่รับรู้โดยทั่วไปว่ากลุ่มเจ้าผู้ครองเมืองเป็นผู้ที่มั่งคั่งอย่างที่ไม่มีที่ใดในโลกเปรียบได้ พวกเขามักเล่าขานถึงตำนานที่ต้อยต่ำของตัวเองอย่างไม่อาย และเล่าถึงการสู้ชีวิตของตัวเองจนทำให้ตัวเองร่ำรวย ยิ่งใหญ่ และมั่งคั่ง มีอย่างทุกวันนี้ได้ แแต่ก็มักมีความลับบางประการที่ทำให้ผู้ที่แสวงหาในอำนาจและเงินทองเข้าหาอยู่เสมอ อย่างไรก็ตาม บางเรื่องราวกลับกลายเป็นการแหกตาผู้คนเพื่อที่จะใช้ประโยชน์จากผู้อื่นเสียมากกว่า เจ้าผู้ครองเมืองคาร์ธมิได้มีทรัพย์สมบัติมากมายอย่างที่รับรู้ ความลับบางอย่างที่ทำให้ผู้อื่นเข้าหา กลับว่างเปล่าเช่นเดียวกับถ้ำอันมืดมิด อีกทั้งแท้จริงแล้ว เมืองคาร์ธกลับเต็มไปด้วยธุรกิจการฟอกเงิน คนเหล่านี้ มักอยากที่จะถูกชื่นชมในความยิ่งใหญ่ ต้องการผู้ติดตามและผู้ร่วมทุน และใช้ประโยชน์จากผู้อื่นไม่ทางใดก็ทางหนึ่ง ดังนั้น ภาพลักษณ์และคำร่ำลือถึงภาพลักษณ์นั้นจึงสำคัญกับพวกเขา ไม่ว่าความจริงจะเป็นเช่นไรก็ตาม (ทั้งนี้ ผู้เขียนมิได้กล่าวถึงประเด็นทางการตลาด แต่กำลังกล่าวถึงการรับรู้ที่เท่าทันของผู้คน)
กลุ่มเจ้าผู้ครองเมืองคาร์ธเปรียบเสมือนกลุ่มคนในสังคมที่พยายามจะยกระดับตัวเองให้ดีขึ้น เพื่อต้องการจะเป็นที่รับรู้ (การทำให้ชีวิตตัวเองดีขึ้นเป็นสิ่งอันดีที่พึ่งกระทำ แต่การสร้างภาพหลอกตาผู้คนอยู่เสมอนั้น เป็นคนละเรื่องกัน) หรืออาจเปรียบได้กับกลุ่มนักระดมทุนบางกลุ่ม/บริษัทที่จำต้องสร้างภาพลักษณ์ให้ดูดีมีอะไรเสียก่อนในเบื้องแรก เพื่อที่จะได้ผู้ติดตามและผู้ร่วมทุน หรือพูดได้ว่า ทำให้ผู้คนรู้สึกว่าตนมีมากกว่า/เหนือกว่า
แท้จริงแล้ว บุคคลผู้มีความมั่งคั่งยิ่งใหญ่ที่แท้จริงมักไม่ป่าวประกาศโดยตนเอง (เช่น ลอร์ดไทวิน แลนนิสเตอร์ ผู้นำหนึ่งในตระกูลที่มีความมั่งคั่งที่สุดตระกูลหนึ่งในเวสเทอรอส) เพราะมันมักเป็นการนำภัยมาสู่ตนโดยไม่รู้ตัว และมักจะทำให้ได้พบพานกับมิตรผู้ไม่ซื่อสัตย์ในขณะเดียวกันด้วย เขาก็เพียงใช้ชีวิตของเขาและทำหน้าที่ในบทบาทของตัวเอง
แบบนี้ ถ้าจะต้องรู้จักกับใครสักคนในสังคมโลก หากทำได้ ให้มองข้ามภาพลักษณ์ของเขาไปเสีย แต่ให้ดูที่ลักษณะนิสัยของคนผู้นั้นหรือองค์กรนั้นว่าเขาเป็นคนอย่างไรทั้งในแง่ที่ดีและร้าย เช่น ดูที่วิธีการสื่อสาร เรื่องที่สื่อสาร และการกระทำต่อผู้อื่น บางครั้ง หากเราอยากรู้จักใครสักคนจริงๆ มันอาจต้องใช้เวลาเรียนรู้เขาแบบเดียวกับที่เราอ่านหนังสือได้วันละนิดวันละหน่อย และอาจเป็นหนังสือที่เต็มไปด้วยภาพลักษณ์ของผู้เขียนคนนั้นๆ เองก็ว่าได้
5.2 ในวงการแห่งผลประโยชน์และการเมือง พันธมิตรควรมาก่อนมิตรแท้
เมื่อโลกเต็มไปด้วยมนุษย์ที่แสวงหาผลประโยนช์และความก้าวหน้า เพราะเกือบทุกคนล้วนมองหาในสิ่งที่ตัวเองต้องการก่อนเป็นสำคัญ และขึ้นชื่อว่า Game of Thrones แน่นอนว่า มันคือเกมการเมือง ไม่ว่าจะเป็นการเมืองในการเมือง หรือการเมืองในองค์กรใดก็ตาม
หากคุณเข้าไปอยู่ในองค์กรที่เกี่ยวข้องกับผลประโยชน์ การเมือง และการแบ่งฝักแบ่งฝ่าย มิตรแท้นั้นหาได้ยากยิ่ง เพียงเชื่อใจคนผิดไปก็ถือว่าผิดพลาดแล้ว ทุกวันนี้ ในบริบทโลกที่เราอยู่ การเชื่อใจคนผิดอาจไม่ทำให้เราถึงตาย แต่เราก็มักรู้สึกอยู่ลึกๆ ว่า การเชื่อใจคนผิดและการถูกหักหลังเสมือนการถูกทิ้มแทงด้วยมีดและบาดลึกถึงหัวใจ และอาจส่งผลกระทบต่อเราอย่างเป็นรูปธรรมในเรื่องอื่นๆ ได้อีก เช่น การถูกหักหลังทางธุรกิจและการเงิน แต่ในบริบทของ Game of Thrones หรือแม้แต่ในประวัติศาสตร์ที่ผ่านมา หากคุณพลาดหรือเชื่อใจคนผิดในโลกแห่งความเป็นจริงของผลประโยชน์และอำนาจ คุณอาจต้องแลกมาด้วยชีวิต นั่นก็อาจไม่ต่างกันสักเท่าไรสำหรับการที่เราถูกใครสักคนหักหลังและรู้สึกเจ็บปวดอย่างรุนแรง
ดังที่พระราชินีเซอร์ซี่กล่าวไว้ “When you play the Game of Thrones, you win or you die. (เมื่อท่านเล่นเกมแห่งอำนาจ (บัลลังค์) ถ้าท่านไม่ชนะ ท่านก็ตาย)”
บางองค์กรเต็มไปด้วยเรื่องของผลประโยชน์ มนุษย์มักต้องการอำนาจเงิน หรืออำนาจในการควบคุม หรือชื่อเสียง หรือทั้งหมดในนั้น แต่อย่างที่ได้กล่าวไป แต่ละบุคคลล้วนมีจุดประสงค์ต่ออำนาจและวิธีการที่จะได้มันมาแตกต่างกัน หากคุณให้ใครได้ในสิ่งที่เขาต้องการ เขาก็อยู่ข้างเดียวกับคุณ ถือเป็น ‘พันธมิตร’ หากไม่แล้ว เขาก็อาจเปลี่ยนฝ่าย ไปอยู่ในที่ที่เหมาะสมกับเขาและได้ในสิ่งที่เขาต้องการ เป็นพันธมิตรกับฝ่ายอื่นแทน มันก็เพียงเท่านั้น แต่หากพูดถึงการมี ‘มิตรแท้’ หน้าใหม่ในบริบทเช่นนี้ มันเป็นเรื่องเอาแน่เอานอนไม่ได้เฉกเช่นเดียวกับโลกนั้นแหละ เพราะมันอาจหาได้ง่ายกว่า ถ้าจะหาจากที่ที่เราจากมา
Game of Thrones เพียงทำให้เห็นและเข้าใจถึงธรรมชาติของผลประโยชน์และอำนาจ มันเป็นเรื่องธรรมดาและอาจเตือนใจใครหลายๆ คนให้ระมัดระวังหากคุณอยู่ในสังคมหรือในสถานการณ์ที่เต็มไปด้วยผลประโยชน์และการเมือง และบางครั้งคุณอาจเจอได้บ่อยในการทำงานคุณเอง
5.3 คนเรารู้หน้าไม่รู้ใจ แม้กับคนที่เชื่อว่าใกล้ชิดที่สุด
คนเราส่วนใหญ่มักยิ้มแย้มแจ่มใส พูดคำหวาน และกรอกหูกันในสิ่งที่ต่างฝ่ายต่างอยากได้ยิน มันจะง่ายกว่า หากเราเจอคนที่พูดจาหรือทำอะไรร้ายๆ กับเราแบบตรงไปตรงมาโดยที่เราจะรู้ได้ทันทีว่า เราจะไม่เข้าใกล้กับคนแบบนี้ แต่ก็เช่นเดียวกัน หลายคนเชื่อใจในใบหน้าที่ยิ้มแย้มและคำหวานหูว่า นั่นคือ ‘มิตรของเรา’ เพราะบางครั้งในสังคมที่กว้างขึ้น มิตรมักแปรเปลี่ยนเป็น ‘ศัตรู’ เช่นเดียวกันกับในสังคมใหญ่และการเมืองที่พบได้อยู่ทุกวี่ทุกวัน ไม่ต่างอะไรจากใน Game of Thrones
ลอร์ดเอ็ดดาร์ด สตาร์ค รับตำแหน่งหัตถ์แห่งพระราชา (Hand of the King) เดินทางจากบ้านเกิดเข้าเมืองหลวงสู่สภาแห่งการบริหารอาณาจักร (องค์กร) ร่วมกับผู้มีอิทธิพลทางการเมืองจำนวนหนึ่งที่จำต้องทำงานร่วมกัน คนเหล่านี้พูดจาดี ทำตาม และพูดในสิ่งที่รู้ว่าลอร์ดเอ็ดดาร์ด สตาร์ค อยากจะได้ยินและคิด ดูเหมือนเป็นการสนับสนุนและเข้าข้างหัตถ์แห่งพระราชาอย่างเต็มกำลัง นั่นก็เพราะพวกเขายังไม่เสียผลประโยชน์แต่อย่างใด ทุกการตัดสินใจมาจากหัตถ์แห่งพระราชา มิใช่สภา
เมื่อถึงเหตุการณ์สำคัญที่หัตถ์แห่งพระราชาจำต้องตัดสินใจ เขาตัดสินใจทำในสิ่งที่คิดว่าถูกต้อง ทรงคุณธรรม แต่เขาไม่เคยรู้แน่เลยว่า ในกลุ่มเพื่อนร่วมงาน ใช่ว่าทุกคนจะเห็นพ้องด้วย แต่เขาเชื่อในหลักการที่ทรงคุณธรรมของเขาเอง เชื่อในคำพูดที่เหมือนจะเห็นด้วย และเชื่อใจ ‘เพื่อน’ ที่ใกล้ชิดกับเขามากที่สุดในสภาและในเวลานั้น จนเขาต้องแลกกับศีรษะของเขาเองในที่สุด
และชะตากรรมนี้ ไม่ต่างอะไรกับร๊อบบ์ สตาร์ค (กษัตริย์แห่งแดนเหนือ) ลูกชายคนโตของลอร์ดเอ็ดดาร์ด สตาร์ค เด็กหนุ่มผู้สืบทอดวงศ์ตระกูลจากผู้เป็นพ่อ นำทัพลงใต้ทำศึกกับผู้ที่สังหารพ่อของตน ความเก่งกาจในการรบของเขาไม่ต่างอะไรกับวีรบุรุษในยุคบรรพชน ชื่อเสียงเป็นที่เลื่องลือ เป็นเด็กหนุ่มที่มีความสามารถมาก ไม่เคยแพ้ในการศึกใด เรียกได้ว่า เก่ง และเรียนมาดี ผิดแต่ว่าเขาวางใจและทำทุกอย่างตามหลักการ เลือกทำสิ่งที่คิดว่าถูกจนอาจผิดใจกับเพื่อนร่วมรบ ทั้งยังเชื่อมั่นในเพื่อนร่วมรบอย่างรูส โบลตัน ผู้ที่ใกล้ชิดกับร๊อบบ์ สตาร์คมากที่สุดคนหนึ่งมากว่าปีในระหว่างช่วงสงคราม จนเรียกได้ว่าอยู่เคียงข้างและรับฟังเจ้านายและเพื่อนมาตลอดทั้งในกรณีที่มีความเห็นต่างกัน แต่ท้ายที่สุดแล้ว รูส โบลตัน เห็นถึงผลประโยชน์ของตน (อาจจะเห็นมาแต่แรกแล้ว) และหักหลังเพื่อนและเจ้านายที่ตนเหมือนจะให้ความเคารพนับถือ ด้วยการใช้มีดแทงร๊อบบ์ สตาร์คสิ้นใจกลางงานอภิเษกสมรสของร๊อบบ์เอง และจากนั้น ตระกูลโบลตันขึ้นมาแทนที่ตำแหน่งของตระกูลสตาร์คในแดนเหนือทันที
ฉะนั้น ภาพลักษณ์ที่ว่าดี ความเห็นด้วย และคำพูดที่หวานหูของใครสักคนที่มีต่อเรา มันไม่ได้แปลว่าเขาคนนั้นคือมิตรเสมอไป ทุกคนล้วนมีจุดประสงค์และความต้องการบางอย่างของตัวเอง บางครั้งในการเมืองเรียกได้ว่า การรอในโอกาสที่เหมาะจึงเริ่มลงมือ นอกจากนี้ ความเก่ง แบบเก่งในห้องเรียน เป็นสิ่งจำเป็น แต่ก็ไม่ได้หมายความว่า จะทำให้มีชีวิตที่ดีเป็นสุข หรืออยู่รอดได้เสมอไปในสังคมโลก แต่คือความฉลาดที่จะมีไหวพริบในการอยู่ได้ในแต่ละบริบทอย่างเข้าใจและวางตัวในบทบาทที่เหมาะสมด้วยเช่นกัน
5.4 คนสองคนทำเพื่ออาณาจักรเหมือนกัน แต่ต่างหลักการ บางครั้งถือเป็นศัตรูและคู่แข่งกันไปเอง
เจมี่ แลนนิสเตอร์ บุตรแห่งลอร์ดไทวิน แลนนิสเตอร์ ผู้สืบทอดตระกูลแลนนิสเตอร์ และผู้ได้รับสมญานามติดตัวอันหมิ่นเกียรติของเขาเองว่า ‘ผู้ปลงพระชนม์ (Kingslayer)’ เนื่องด้วยสถานการณ์อันวุ่นวายของสงครามก่อนเหตุการณ์ในซีซั่นแรก เจมี่ เป็นราชองครักษ์ให้กับ ‘กษัตริย์วิปลาส’ ผู้ถูกต่อต้านจากลอร์ดตระกูลใหญ่หลายตระกูล รวมถึงพ่อของตน
เจมี่ตัดสินใจสังหารกษัตริย์วิปลาสด้วยการแทงจากข้างหลัง เพื่อยุติการนองเลือดที่จะตามมา และเพื่อมอบความยุติธรรมให้แก่ใครหลายๆ คนในเวลานั้น อย่างไรก็ดี สังคมและผู้คนตัดสินเขาไปแล้วด้วยการสังหารเจ้านายตนเอง ถือเป็นเรื่องไร้เกียรติอย่างยิ่ง เขาจึงได้สมญานามว่า ‘ผู้ปลงพระชนม์’
ลอร์ดเอ็ดดาร์ด สตาร์คเป็นศัตรูกับกษัตริย์วิปลาส และต่อสู้อย่างตรงไปตรงมา แม้ว่าจะต้องมีการนองเลือดสักเพียงใดก็ตาม ดังนั้น การสังหารกษัตริย์วิปลาส แม้จะเป็นผลดีกับหลายๆ ฝ่ายในเวลานั้น แต่ลอร์ดเอ็ดดาร์ดก็ไม่เคยเห็นด้วยกับการกระทำของเจมี่เลย เพียงเพราะผิดหลักการ และหากว่ากันตามตรง มันไม่ใช่วิธีที่ถูกต้องสักเท่าไรที่ลูกน้องจะทรยศต่อเจ้านายตัวเอง
อย่างไรก็ดี เรื่องนี้ทำให้ลอร์ดเอ็ดดาร์ดรู้สึกไม่ชอบใจในตัวเจมี่มาก แม้จะไม่ได้พูดหรือพบปะกันมากมาย แต่ลอร์ดเอ็ดดาร์ดกับเจมี่ก็ค่อยๆ กลายเป็นศัตรูกันไปในที่สุด ขณะที่หากทั้งสองคนนี้มองข้ามเรื่องในอดีตและหันมาเข้าใจในวิธีการและหลักการที่ต่างกัน ปรับความเข้าใจ เพราะต่างก็มีจุดประสงค์แบบเดียวกัน สถานการณ์ในช่วงบั่นปลายชีวิตของลอร์ดเอ็ดดาร์ดน่าจะดีกว่าเดิมได้
ยังไม่นับเรื่องที่จอน สโนว์ ตอนที่รับตำแหน่งเป็นผู้บัญชาการแห่งหน่วยพิทักษ์ราตรี ถูกรุมสังหารไม่ต่างไปจากจูเลียส ซีซาร์ ด้วยการที่เขามีวิธีการและหลักการในการทำงานบางอย่างที่ทำให้เขาต้องผิดใจกับคนอื่นๆ ในหน่วยอย่างแรง แต่จุดประสงค์ที่จะพิทักษ์อาณาจักรไม่ต่างกัน ทั้งนี้ หากเรามองอย่างใจที่เป็นกลาง ไม่ว่าจะเป็นจอน สโนว์ หรือคนอื่นๆ ในหน่วย ไม่มีวิธีการหรือหลักการใดที่ผิดอย่างแท้จริง เพียงแต่มองกันคนละมุม และคิดคนละแบบ
เราพบเจอเรื่องแบบนี้อยู่เสมอในการทำงานหรือในออฟฟิศกับเพื่อนร่วมงาน เชื่อสิว่า หลักการและวิธีการที่ต่างกัน แม้จะเป็นเรื่องงาน ก็สามารถทำให้เราแบ่งแยกกันไปเองโดยปริยาย แม้เราจะไม่ได้ถึงกับสังหารกันเหมือนในสมัยก่อนก็ตาม
ฉะนั้น ในบางครั้งจะดีหรือร้าย ถูกหรือผิด อาจเป็นเพียงมุมมองและการตัดสินเท่านั้น
5.5 โลกที่ไม่ยุติธรรม
หากคุณคิดว่าโลกที่คุณอยู่มันย่ำแย่และไม่ยุติธรรมเอาเสียเลย ลองย้อนมองกลับไปในประวัติศาสตร์ มันมีอะไรที่ยุติธรรมและไม่ยุติธรรมบ้าง Game of Thrones สะท้อนสังคมโลกที่ไม่ยุติธรรมออกมาได้อย่างดีและเป็นธรรมชาติตามความเป็นจริงและในประวัติศาสตร์ที่ผ่านมา ถึงแม้ว่า ผู้ชมจะต้องทุกข์ทนกับความอยุติธรรมที่เกิดขึ้นกับตัวละครเอกในเรื่องอย่างเจ็บแค้นแค่ไหนก็ตาม
อย่างที่กล่าว ลอร์ดเอ็ดดาร์ด สตาร์ค ถูกสังหาร แต่ที่เจ็บแค้นกับความอยุติธรรมไปมากกว่านั้น คือ การที่ทุกฝ่ายตกลงกันว่าจะไม่ประหารลอร์ดเอ็ดดาร์ด สตาร์คหากเขายอมสารภาพความผิดฐานกบฏและยอมรับกษัตริย์จอมปลอมที่เขาไม่ต้องการจะยอมรับเลยแม้แต่น้อย เพราะหากพูดในมุมมองของเขา เขาต่างหากที่ถูกคนที่เขาไว้ใจทรยศ ดังนั้น ด้วยเกียรติที่เขามี มันยากมากที่เขาจะยอมรับ และเขาพร้อมที่จะตายมากกว่าที่จะเสียเกียรติ
แต่ท้ายสุดแล้ว เพื่อเห็นแก่ลูกๆ และความสงบสุข ลอร์ดเอ็ดดาร์ดยอมสารภาพผิดในสิ่งที่เขาไม่เห็นด้วย บิดเบือนข้อเท็จจริงและพูดในสิ่งที่เขาเห็นต่าง เพื่อให้ตนเองเป็นผู้ผิดต่อหน้าสาธารณชนจำนวนมากที่รุมประณามเขาอยู่ พร้อมกับยอมรับกษัตริย์องค์ใหม่ที่เป็นลูกนอกสมรสของพระราชินีเซอร์ซี่ เรื่องนี้ นับว่าไม่มีอะไรยุติธรรมต่อตัวเขาแม้แต่น้อย… เป็นเรื่องแรก
อีกเรื่อง คือ แม้ลอร์ดเอ็ดดาร์ดยอมสารภาพและยอมรับกษัตริย์องค์ใหม่แล้ว และควรจะถูกตัดสินไว้ชีวิต แต่กษัตริย์องค์ใหม่ทรงประเดิมรัชสมัยด้วยการสั่งประหารลอร์ดเอ็ดดาร์ดให้ตายไปพร้อมกับความผิดที่ใหญ่หลวงที่สุดในชีวิตของเขาและไม่หลงเหลือเกียรติใดๆ อยู่เลย (รู้แบบนี้ ไม่สารภาพตั้งแต่แรก) เป็นการหักหลังและผิดคำพูดกันซ้ำซ้อนมากๆ
นอกจากนี้ สำหรับเจมี่ แลนนิสเตอร์ เขามักถูกหยามหมิ่นในฐานะ ‘ผู้ปลงพระชนม์’ อยู่เสมอ มันยุติธรรมกับเขาแล้วหรือ ทั้งที่ในอีกมุมของเขา มันเป็นการยุติความวุ่นวาย และเขาเลือกที่จะอยู่ข้างเดียวกันกับพ่อของเขา
ฉะนั้น เรื่องอยุติธรรมที่เราอาจพบเจออยู่เรื่อยๆ ในชีวิต มันเป็นเรื่องแน่นอนที่เราจะได้เจอ มันอยู่ที่เราจะมีชีวิตอยู่กับมันอย่างไร ทำอย่างไรกับมัน ในบางเรื่องเราอาจไม่สามารถทำให้ใครผิดได้เสมอไป ระบบความยุติธรรมของโลกนี้ก็ใช่ว่าจะช่วยมอบความยุติธรรมให้เราได้เสมอด้วย เพราะความยุติธรรมมันขึ้นอยู่ที่ผู้ตัดสินและบริบท-ระบบของมันเอง ทั้งนี้ สิ่งที่เราทำได้กับความอยุติธรรมเหล่านั้น (หากทำได้) คือ การปล่อยวาง ทำสิ่งที่เหมาะสมกับเวลานั้น และทำในสิ่งที่ทำได้และควรทำในเวลาที่เหลืออยู่ของเราเอง
5.6 ความเชื่อในศาสนา บ้างแตะต้องได้ บ้างก็แตะต้องไม่ได้
Game of Thrones เต็มไปด้วยศาสนาที่แตกต่างกันไป ไม่ต่างอะไรมากมายกับโลกของเรา และแต่ละศาสนาล้วนนำมาซึ่งคำสอนอันดีงาม แต่เมื่อไรก็ตามที่มนุษย์ให้อำนาจกับศาสนา ไม่ยอมให้ผู้อื่นตั้งคำถาม เพราะเป็นลบหลู่ และไม่ยอมรับในความเชื่ออื่นเลย (หมายถึง ความเชื่อของตนเองถูกเพียงหนึ่งเดียวและความเชื่ออื่นผิด) ศาสนาจะกลายเป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์ในกลุ่มผู้เคร่งครัด และมักนำไปสู่ความขัดแย้งในสังคมได้ ซึ่งเป็นแนวทางที่นำไปสู่สงครามศาสนามาแล้วหลายครั้งบนโลกของเรา
และในหลายครั้งเช่นกัน แม้ศาสนาจะดีงาม แต่ศาสนาก็มักถูกใช้เป็นเครื่องมือผลักดันให้เกิดผู้มีอำนาจหน้าใหม่ขึ้นมาหลายคน และหากว่ากันตามความเป็นจริง ศาสนามิใช่เรื่องทางโลกขนาดนั้น หากแต่นำมาซึ่งจิตใจและจิตวิญญาณอันสงบสุข บางที ศาสนากลับไปขึ้นอยู่กับการมุ่งเน้นคำสอนและการตีความของเหล่าผู้นำทางศาสนาและนักบวชเองเสียมากกว่า
เช่นเดียวกับใน Game of Thrones และในประวัติศาสตร์ เมื่อศาสนามีอำนาจมากขึ้น (ไม่ว่าจะด้วยการให้อำนาจ หรือด้วยผู้นับถือติดตามในองค์กรทางศาสนา หรือด้วยทรัพย์) ศาสนาก็มักเข้ามาเกี่ยวข้องกับการเมือง เราเห็นเรื่องแบบนี้มาเสมอแม้ในปัจจุบัน
5.7 การอยู่บ้านกับครอบครัวและมิตรแท้ ถือว่าได้อยู่ในป้อมปราการที่ทรงคุณค่า
ไม่ว่าในสังคมโลกจะมีทั้งเรื่องดีและร้ายเพียงใด ครอบครัวและมิตรแท้เป็นสิ่งสำคัญอย่างแท้จริง เราจะรู้สึกปลอดภัยเสมอเมื่ออยู่กับครอบครัวและมิตรแท้ เราเห็นได้บ่อยครั้งว่า ครอบครัวและเพื่อนในวันเก่าก่อนจะเดินทางมาหาเราเอง
Game of Thrones เต็มไปด้วยเรื่องดีและร้ายในโลกแห่งความเป็นจริง แต่สิ่งที่เรารู้สึกได้เสมอจากเรื่องราวนี้ คือ การมีอยู่ของครอบครัวและการพบกับมิตรแท้ ทั้งที่เก่าและใหม่ ไม่ว่าจะมาจากตระกูลหรือครอบครัวที่ผู้ชมจะรู้สึกว่าเป็นฝ่ายร้าย แต่ในแง่ของครอบครัวและมิตรภาพ พวกเขาล้วนมีที่พักพิงเสมอ ครอบครัวและเพื่อนแท้ของเขาจะต้อนรับเขาไม่ต่างจากฝ่ายที่ผู้ชมคิดว่าเป็นฝ่ายดีเลย แต่อาจเป็นครอบครัวและเพื่อนคนละแบบกันเท่านั้น
นอกจากนี้ Game of Thrones ยังมุ่งเน้นไปที่วัฒนธรรมอันดีของความสัมพันธ์ที่มีในครอบครัวและเพื่อนที่พึงปฏิบัติต่อกัน และในบางวัฒนธรรมเหล่านั้นเอง คนบนโลกใบนี้จำนวนมากอาจมองข้ามและลืมเลือนกันไปเสียแล้ว เพราะเราต่างก็นึกถึงเฉพาะเรื่องที่มีผลต่อตัวเองเป็นสำคัญ
6. การสูญเสียสิ่งสำคัญไป จะทำให้เด็กกลายเป็นผู้ใหญ่
เราต่างก็เคยสูญเสียสิ่งสำคัญในชีวิตไปก่อนที่เราจะค่อยๆ เรียนรู้ และเติบโตในโลกใบกว้าง บางคนสูญเสียคนรักที่เขารักมากที่สุด บางคนคนสำคัญในครอบครัวเสียชีวิต บางคนสูญเสียเพื่อนจากความรู้สึกถูกหักหลัง บางคนถูกขโมยผลงานชิ้นเอก บางคนสูญเสียเงินจำนวนมากไปกับการลงทุน หรือแม้กระทั่ง บางคนสูญเสียอำนาจที่เคยมีล้นฟ้า
เจมี่ แลนนิสเตอร์ เป็นบุคคลที่มีความเก่งกาจในเรื่องการต่อสู้และการรบ เขาขึ้นชื่อมากในการใช้ดาบ เป็นบุตรชายคนแรกของลอร์ดไทวิน แลนนิสเตอร์ และผู้สืบทอดตระกูลที่ร่ำรวยที่สุดตระกูลหนึ่งในเวสเทอรอส เขามักไม่สำนึกกับเรื่องผิดๆ ของตัวเองในอดีตสักเท่าไรนัก
ในช่วงแรกของเรื่อง เขาจะดูเป็นตัวร้าย เป็นคู่กัดกับลอร์ดเอ็ดดาร์ด สตาร์ค เจมี่ตอนนั้นเป็นคนที่ทะนงตนอย่างมาก เชื่อมั่นในความคิดและฝีมือ รวมถึงวงศ์ตระกูลของตนเองเป็นที่สุด ชอบการเอาชนะและเป็นที่หนึ่ง สร้างความน่าหมั่นไส้ให้กับคนรอบข้างหลายต่อหลายคน และด้วยอุปนิสัยดังกล่าว เขาจึงดูมีนิสัยเป็นเด็กที่ไม่ค่อยจะมีความสำนึกอะไร เป็นคนที่มุทะลุไม่เห็นหัวใครสักเท่าใดนัก ตัดสินความสามารถของคนอื่นเป็นประจำ คนที่เจมี่นับถืออาจเป็นเพียงตัวเขาและครอบครัวเขาเองก็ว่าได้ หรือคนที่เขาคิดว่าเขาอยากจะนับถือในแบบของเขาเอง
อย่างไรก็ตาม ในการรบกับกษัตริย์ร๊อบบ์ สตาร์ค เจมี่พ่ายแพ้และถูกจับกุมขังไว้ในคุก ต้องเรียนรู้ที่อยู่และนอนกับอาจมของตัวเอง มีชีวิตแบบนักโทษยากลำบากอยู่หลายเดือน สูญเสียชีวิตอันสุขสบาย จนเขาพยายามหลบหนี และต่อมา เขาถูกผู้ตามล่าใช้มีดตัดเอามือข้างขวาขาดออกมา มือที่เขาถนัด ซึ่งนั่นแปลว่า เขาจะสูญเสียความสามารถอันเป็นที่หนึ่งของเขาไป รวมถึงความสามารถอื่นๆ อีกด้วย
แต่ในท้ายที่สุด เจมี่ก็ยังสามารถหนีออกมาได้กับเพื่อนร่วมทางหนึ่งคนที่ซื่อสัตย์ เขาซึมเศร้าไปสักพักเลยทีเดียวกับความสูญเสียของตัวเอง สิ่งที่มีค่าที่สุดอย่างหนึ่งของเขา ก่อนที่เขาจะค่อยๆ ทบทวน ปล่อยวาง และสำนึกในความผิดที่เขาเคยทำ จากนั้นมา เขาเริ่มเรียนรู้ที่จะเห็นอกเห็นใจผู้อื่น แม้แต่ศัตรูของตัวเอง เริ่มที่จะให้เกียรติ และรักษาเกียรติของคนอื่นนอกจากเกียรติของตัวเองเช่นในอดีต ทำเรื่องที่ควรกระทำมากกว่าสิ่งที่ตัวเองต้องการ และเป็นคนมุทะลุน้อยลง คิดมากขึ้นและคิดถึงผลที่มีต่อคนอื่นมากขึ้นด้วย แต่ถือได้ว่ามีความเป็นผู้ใหญ่ที่มีประสบการณ์มากขึ้นมากเลยทีเดียว (สำหรับผู้เขียน เจมี่กลายเป็นหนึ่งในตัวละครที่ผู้เขียนรู้สึกนับถือและชื่นชอบมากที่สุดตัวหนึ่งเลยก็ว่าได้ แม้ในตอนแรก ผู้เขียนอยากจะสับเจ้านี่ให้เป็นชิ้นๆ ก็ตาม - ความเห็นส่วนตัว)
เช่นเดียวกับใครหลายๆ คนที่หากเคยสูญเสียอะไรไป เมื่อถึงเวลานั้น เราจะโตขึ้นทุกครั้ง ยิ่งสิ่งนั้นมีค่ามากเท่าไร เราก็จะยิ่งโตขึ้นมากเท่านั้นตามแบบที่เราเหมาะสม หากไม่ยอมแพ้กับชีวิตไปเสียก่อน มันมีทางเสมอ ไม่ว่าอดีตเราจะเป็นอย่างไร
7. เรื่องธรรมดาของการเมืองการปกครองที่มีหลากหลาย
Game of Thrones จะนำพาเราเข้าสู่โลกของการเมืองการปกครองในหลากหลายระบบและบริบทที่แตกต่างกันของระบบการเมืองการปกครองนั้น นับตั้งแต่โลกการเมืองการปกครองแบบศักดินาสวามิภักดิ์ (Feudalism) เผด็จการ (Dictatorship) ประชาธิปไตย (Democracy) หรือการปกครองแบบท้องถิ่นที่มีความหลายหลากเป็นเอกเทศ ทำให้เราเข้าใจโลกที่เต็มไปด้วยระบบการเมืองการปกครองที่หลากหลาย ได้ความรู้ทางรัฐศาสตร์ และใจกว้างพอที่จะยอมรับมันก่อน เราไม่สามารถเปรียบเทียบได้จริงๆ หรอกว่า ระบบการเมืองการปกครองแบบไหน มันดีหรือไม่ดีกว่ากัน ทุกอย่างมันขึ้นอยู่กับบริบทของพื้นที่และช่วงเวลา รวมถึงความเป็นมาของมัน ซึ่ง Game of Thrones สามารถถ่ายทอดในประเด็นนี้ออกมาได้อย่างแนบเนียนเช่นกัน
ที่สำคัญ เวลาไปเที่ยวจะได้สนุกในทุกที่ที่ไป
นี่เป็นเพียงเนื้อหาตัวอย่างและการสะท้อนชีวิตและสังคมส่วนหนึ่งที่ผู้เขียนสามารถสังเคราะห์ออกมาได้จากซีรีส์และวรรณกรรมที่ซับซ้อนที่สุดเรื่องหนึ่งอย่าง Game of Thrones และเป็นเหตุผลอันดียิ่งที่ผู้อ่านควรเริ่มหันไปดูซีรีส์เรื่องนี้ เพราะมันอาจนำซึ่งความบันเทิงที่จัดเต็มไปด้วยความเข้มข้นน่าติดตาม ความรู้ การนำมาประยุกต์ใช้กับชีวิต ตลอดจนการเข้าใจและค้นพบตัวตนของตัวเองและคุณค่าที่แท้จริงของชีวิตก็ว่าได้…
About Author and Contributor
Comentários