ไม่มีอะไรสูญเปล่าใน Toy Story 4
ในบรรดาภาพยนตร์แอนิเมชันทั้งหมด Toy Story ถือว่าเป็นหนึ่งในภาพยนตร์แอนิเมชันที่มีบทภาพยนตร์ที่สร้างความตราตรึงใจได้มากที่สุดเรื่องหนึ่ง พร้อมประเด็นคำถามสำคัญที่น่าประทับใจในชีวิตตั้งแต่ในวัยเด็กจนโตอีกด้วย
เป็นเวลากว่ายี่สิบปีแล้วที่ Toy Story ได้ออกมาโลดแล่นบนจอภาพยนตร์ตั้งแต่ปี 1995 และทำให้ใครหลายๆ ใครกลับมาเห็นคุณค่าของของเล่นและผองเพื่อนในวัยเด็ก
แม้ว่า Toy Story 3 ในปี 2012 ที่ออกมาสร้างความประทับใจในการจากลา และน่าจะเป็นตอนจบที่สมบูรณ์ที่สุดแล้ว เรียกได้ว่าเป็นการปิดฉากที่สุดซึ้งอย่างดี และมีหลายคนเสียน้ำตาให้กับภาพยนตร์เรื่องนี้มาแล้วไม่น้อย มันจึงกลายเป็นบรรทัดฐานที่เต็มเปี่ยมของบทภาพยนตร์ที่ทรงคุณค่าที่สุดเรื่องหนึ่ง แต่แล้ว Toy Story 4 ก็กลับมาอีกครั้งในปี 2019 ด้วยความคิดถึงจากแฟนๆ และทีมผู้สร้างเอง
และด้วยบรรทัดฐานนั้นเอง ที่ภาพยนตร์แอนิเมชันชุดนี้จะต้องเป็นภาพยนตร์ที่ดีมีคุณภาพและมีบทภาพยนตร์ที่ทรงคุณค่า Toy Story 4 จึงกลับมาพร้อมกับบทภาพยนตร์ที่เต็มไปด้วยแง่คิดสำคัญและการตั้งประเด็นคำถามที่น่าประทับใจเช่นเคย พร้อมกับบทที่สอดแทรกความตลกอยู่ตลอดทั้งเรื่องแบบลงตัว
แม้ว่าจุดพีคแห่งความซาบซึ้งใจจะไม่ได้ไปสุดเท่ากับ Toy Story 3 แต่ก็พูดได้ว่า Toy Story 4 มีความลงตัวไม่แพ้กัน ถือเป็นการปิดฉากลงอีกครั้งอย่างประทับใจสำหรับเหล่าของเล่น และเต็มไปด้วยความรู้สึกที่ดีและซาบซึ้งใจอยู่ตลอดเรื่องเช่นกัน
เพียงแค่ฉากเปิดเรื่องก็ทำให้เราประทับใจได้แล้ว ทำให้ย้อนคิดถึงการดู Toy Story ครั้งแรก เพราะมันเป็นฉากที่มีรูปแบบแบบเดียวกันกับ Toy Story 1 ยิ่งไปกว่านั้น มันยังเป็นฉากที่เต็มเปี่ยมไปด้วยความรู้สึกของการจำใจที่จะต้องจากลาท่ามกลางสายฝนและแสงไฟอันเงียบเหงาตัดกับโทนสีที่อบอุ่น ภาพชัดตื้นที่ชวนนึกถึงความทรงจำครั้งเก่า และมุมภาพการเคลื่อนไหวที่ใส่ใจในรายละเอียดจากผู้ชำนาญการแอนิเมชันระดับแนวหน้าของโลก มันก็ทำให้แค่ฉากแรกฉากนี้เป็นฉากที่เต็มอิ่มได้แล้ว
Toy Story 4 เป็นการกลับมาเพื่อมอบความสุข ความตลก และบรรยากาศที่น่ารักหวานๆ ให้กับเหล่าแฟนเก่า Toy Story รวมถึงผู้ชมหน้าใหม่ที่จะเข้ามาและได้ทำความรู้จักและเข้าถึงความหมายของของเล่น
แม้ว่าจะเต็มไปด้วยเรื่องราวที่ตลกและสนุกสนาน แต่หนังก็ยังสอดแทรกประเด็นสำคัญที่ทำให้เราเห็นคุณค่าของทั้งของเล่นและข้าวของเครื่องใช้ที่ครั้งหนึ่งมันอาจเคยใช้ได้ดี และมันอาจเป็นได้ทั้งเพื่อนเราในยามเหงาและเติมเต็มความสนุกในช่วงเวลาต่างๆ รวมทั้งในบางครั้ง มันทำให้กล้าหาญในเผชิญกับความกลัว
มันไม่มีของเล่นหรือของใช้ชิ้นไหนที่เกิดขึ้นมาหรือถูกสร้างขึ้นให้ไร้ค่าไปเสียทีเดียวในท้ายที่สุด แม้แต่ของเล่นหรือข้าวของเครื่องใช้ที่ถูกทิ้งไปแล้วหรือหลงทาง สิ่งของเหล่านั้น มันไม่เคยมีอยู่อย่างสูญเปล่า อาจมีเพียงมนุษย์ที่บางครั้งเราไม่เห็นถึงคุณค่าของทรัพยากรที่ตนเป็นผู้สร้างขึ้นในวันที่มันเก่าไปแล้ว และผู้เขียนเชื่อโดยส่วนตัวว่า Toy Story ทำให้เราเห็นคุณค่าและความหมายของสิ่งเหล่านั้น โดยเฉพาะกับของเล่นที่มันไม่ได้เกิดขึ้นมาอย่างสูญเปล่า
มากไปกว่านั้น ไม่ว่าจะเป็น Toy Story ภาคไหนๆ มันทำให้เรารู้สึกอยู่เสมอว่า เราไม่ควรหลงลืมเพื่อนๆ แม้ว่าในวันนี้ เราอาจจะห่างหายจากเพื่อนเก่าสักคนของเราไปนานแล้วก็ตาม และมันยังทำให้เรารู้สึกอีกว่า เราอยากจะกลับไปเอาของเล่นที่เราไม่เล่นไปนานแล้วไปส่งต่อ หรือกลับไปหยิบมันออกมาจากกล่องเพื่อนั่งเล่นกับมันอีกสักครั้ง เพราะ Toy Story 4 ยังสร้างประเด็นคำถามสำคัญให้ชวนคิดอีกว่า ของเล่นสร้างขึ้นมาเพื่อเด็กๆ เท่านั้นจริงๆ หรือเปล่า ซึ่งก่อให้เกิดการถกเถียงและพูดคุยในเชิงปรัชญาชีวิตและจิตอิสระอย่างน่าสนใจ
ที่สำคัญ ตัวละครเอกอย่าง 'วูดดี้' ใน Toy Story 4 ยังคงภาพลักษณ์และตัวตนแบบเดิมในแง่ที่เขาเป็นสิ่งมีชีวิตที่ซื่อสัตย์ เต็มเปี่ยมไปด้วยคุณธรรม มีความรักอันเป็นหนึ่งเดียว รักษาหน้าที่ และมีหลักการในการดำเนินชีวิตที่ชัดเจน จนถึงเหตุการณ์ในตอนท้ายที่เขาต้องเลือกเส้นทางชีวิตต่อไป ถึงแม้ว่ามันจะเป็นเรื่องราวของของเล่น แต่ภาพยนตร์ก็สะท้อนสิ่งเหล่านี้ถึงชีวิตคนจริงๆ ด้วยเช่นกัน
Toy Story 4 จบลงด้วยความประทับใจอีกเช่นกัน แม้ว่ามันจะไม่ได้เรียกน้ำตาเท่ากับใน Toy Story 3 แต่ตอนจบภาคนี้ ก็เป็นตอนจบที่ลงตัวและซาบซึ้งอย่างดีแล้ว
สุดท้าย ผู้เขียนเชื่อว่า สิ่งที่มีอยู่หรือที่เคยมีอยู่นั้น มันไม่เคยสูญเปล่าไปหรอก แม้แต่ของเล่นที่ในวันนี้มันอาจเป็นของที่ดูไร้สาระในสายตาบางคน
‘เราไม่ควรหลงลืมสิ่งที่เคยอยู่กับเราขณะที่ตอนนั้นเรามีความสุขกับไปมัน…’
About Author and Contributor
Comments